Intel ยักษ์ตื่นหรือแค่ละเมอชั่วคราว ?
.

ช่วงที่ผ่านมาชื่อของ Intel (INTC) กลับมาเป็นที่จับตาของวอลล์สตรีทอีกครั้งหลังจากการลงทุนสุดฮือฮาของ SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในราคาหุ้น $23 ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงถึง +17% ภายใน 5 วันทำการ
ซึ่งก่อนหน้านี้ดูเหมือนนักลงทุนจะเริ่มถอดใจ สาเหตุหลักมาจาก
1. การเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง AMD และ NVIDIA
2. ปัญหาด้านการผลิตและการดำเนินงานที่ยังไม่สามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืน
3. ภาพรวมอุตสาหกรรมชิปที่ชะลอตัวลงในช่วงก่อนหน้า
แน่นอนวาการเข้ามาของ SoftBank จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่จุดประกายความหวังครั้งใหม่ให้กับบริษัท
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้กัน เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ โดยกระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาเข้าถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิป รวมถึง Intel เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือภายใต้กฎหมาย CHIPS Act ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่อาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่ง
.
ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า "หุ้น Intel จะพลิกตัวกลับมาเป็นขาขึ้น" แล้วใช่ไหม ?
โอกาสของ Intel ในตอนนี้ไม่ใช่แค่การผลิตชิปคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ แต่เป็นการมุ่งหน้าสู่สนามรบแห่งอนาคตอย่างเต็มตัว
โดยเฉพาะการรุกตลาด AI และ Supercomputer ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมหาศาล
อีกทั้งยังมีข่าวลือเรื่องการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อผลักดันให้ Intel เป็นผู้นำการผลิตชิปในประเทศ
ทำให้โมเมนตัมเชิงบวกยิ่งเพิ่มขึ้น และเป็นสิ่งที่ตลาดกำลังจับตามองว่าแผนการฟื้นฟูนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่
.
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน Intel ยังมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังคงน่ากังวล
โดยล่าสุด Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้ Intel ลง ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในความสามารถในการทำกำไรในระยะสั้น
นอกจากนี้การแข่งขันในตลาดชิปก็ยังคงดุเดือด คู่แข่งอย่าง AMD และ ARM ยังคงแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Intel ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง
.
ลองดูผลประกอบการย้อนหลังแล้วจะเห็นว่าสถานะของ Intel ยังน่าเป็นห่วง:
ปี 2022: กำไรสุทธิ $8 พันล้าน
ปี 2023: กำไรลดลงเหลือ $1.6 พันล้าน
ปี 2024: พลิกกลับมา ขาดทุนสุทธิสูงถึง $20.5 พันล้าน
และผลประกอบการล่าสุด Q2/2025: ยังคงขาดทุนสุทธิที่ -$0.10 ต่อหุ้น แม้รายได้จะดีกว่าคาดก็ตาม
นอกจากนี้บริษัทยังมี กระแสเงินสดติดลบ $10.94 พันล้าน ซึ่งหมายความว่าบริษัทกำลัง "เผาเงินสด" อย่างมหาศาล
และต้องพึ่งพาเงินกู้จากภายนอกเพื่อใช้ในการลงทุน
.
สรุปแล้ว Intel กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องเลือกระหว่าง "ความหวัง" ที่มาจากข่าวดี กับ "ความจริง" ที่ยังคงน่ากังวลในด้านผลประกอบการ
การที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นการเดิมพันของตลาดในอนาคต แต่ท้ายที่สุดแล้ว Intel จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
"ถ้าทำไม่ได้...ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาอาจจะลงได้เร็วกว่าที่คิด"
.